“เคล็ดลับเมนู”


 “อาหารเพื่อสุขภาพ” กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ครบถ้วน ?





      นอกจากการออกกำลังกายอยู่เป็นประจำเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่คนเราไม่ควรมองข้ามหรือละเลยความสำคัญ ก็คือเรื่องของอาหาร” การกิน เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราบริโภคเข้าไปในร่างกายอย่างน้อยวันละ 3 มื้อนั้น เมื่อผ่านการบวนการย่อยและดูดซึม ย่อมส่งผลต่อร่างกายทั้งผลดีและผลเสีย ดังคำกล่าวที่ว่า You Are What You Eat คำพูดนี้ถือเป็นวลีสุดคลาสสิคที่เรามักใช้เพื่อเตือนสติ ก่อนที่จะจัดเต็มกับมื้ออาหารสุดแสนอร่อยตรงหน้า เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าอาหารอร่อยมักไม่ดีต่อสุขภาพ จากกระบวนการหมักและปรุงรสอย่างถึงพริกถึงเครื่อง เมื่อกินเยอะและติดต่อกันนานๆ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารเกินพอดี โดยเฉพาะความหวาน มัน เค็ม ที่ตอนนี้กลายเป็นต้นตอสำคัญในการป่วยเป็น NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ และโรคอ้วน !!!

        เมื่อไม่นานมานี้ผลสำรวจของ เครือข่ายไม่กินหวาน” ที่รวบรวมตำรับอาหารไทยโบราณ 57 สูตร จากนิตยสารแม่บ้านรวมเล่มตีพิมพ์เมื่อปี 2520 เทียบกับสูตรอาหารในเว็บเพจต่างๆ พบว่า ทั้งเมนู แกง – ยำ – น้ำพริก – อาหารจานเดียว ทุกเมนูใส่น้ำตาลเพิ่มเกือบ 2 เท่าตัว ตอกย้ำคำพูดที่ว่าคนไทยติดหวานนั้นไม่เกินความเป็นจริง ไม่เพียงแค่นั้นอาหารไทยยังติดรสเค็มจากเครื่องปรุงต่างๆ ที่นิยมใส่ในการปรุงอาหารด้วย การที่คนเรากินเค็มมากๆ ทำให้ได้รับโซเดียมเกินความจำเป็น สะสมมากเข้ากลายเป็นผลเสียต่อไต แถมยังทำให้ร่างกายบวมน้ำอีกด้วย แค่ความหวานกับเค็มก็ส่งผลเสียต่อร่างกายมากมายแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงความมันจากไขมันและเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่แสนจะอร่อย และหักห้ามใจไม่ไห้กินได้ยากเหลือเกิน...

       แม้จะรู้ดีว่าอาหารรสอร่อยส่วนใหญ่ไม่่ค่อยเป็นมิตรกับสุขภาพร่างกาย แต่ครั้นจะให้กินเฉพาะอาหารรสชาติจืดๆ หรือพืชผักใบเขียวตลอดเวลา ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและทำให้ชีวิตไม่มีความสุข ทุกวันนี้เราจึงเห็นความพยายามในการพัฒนาปรับสูตรอาหาร เพื่อให้ได้ทั้งรสชาติอาหารที่อร่อยและดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยปัจจุบันอาหารสุขภาพที่คนทั่วโลกรวมถึงคนไทย นิยมหันมาบริโภคกันมากขึ้นก็คือ อาหารคลีน” หรือ “Clen Food” อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่าง ๆ หรือผ่านการแปรรูป หมัก ดอง และปรุงรส น้อยที่สุด เพื่อลดการได้รับความหวาน มัน เค็ม มากเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการจนก่อให้เกิดโทษ

       เอาล่ะ.. ไหนๆ ก็เขียนถึงอาหารคลีนขึ้นมาแล้ว ดังนั้น เพื่อเป็นไอเดียสำหรับคนที่เพิ่งหันมากินอาหารคลีน หรือใครที่กินมาสักพักแต่อยากลองเปลี่ยนเมนูใหม่ๆ สลับสับเปลี่ยนเพื่อความแปลกใหม่ เราได้รวบรวม 4 เมนูอาหารคลีนที่ทำง่ายแถมยังกินได้บ่อยๆ ไม่น่าเบื่อมาฝาก





    1. สุกี้ผักรวม : เชื่อว่าสุกี้น่าจะเป็นเมนูแรกๆ ที่หลายคนนึงถึง เมื่อต้องการกินผักให้มากขึ้นและลดการบริโภคแป้งหรือไขมันให้น้อยลง ด้วยวัตถุดิบที่เน้นผักนานาชนิดด้วยการต้มในน้ำเดือด และไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรุงมากมายก็อร่อยได้ ทำให้ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์และไม่ปรุงแต่งจนเกินไป คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการให้ดูสุขภาพดียิ่งขึ้น คือเนื้อสัตว์ควรเป็นอกไก่หรือปลาเท่านั้น และไม่ใส่น้ำจิ้มลงไปต้มรวมในหม้อ หากต้องการให้มีรสชาติก็ควรจิ้มน้อยๆ อย่ามาจนเกินไป
    2. ข้าวกล้องคลุกไข่ต้มและทูน่า : หนึ่งในไอเทมสำคัญของเมนูอาหารคลีนก็คือข้าวกล้อง เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน อุดมด้วยวิตามินบี วิตามินอี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ เยื่อหุ้มเมล็ดจะมีเส้นใยอาหารที่ดีสูงมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร ยังมีส่วนช่วยป้องกันไขมันชนิดอิ่มตัวถูกดูดซึมเข้าสู่กระเพาะอาหารอีกด้วย เมนูนี้ทำง่ายเพียงแค่เอาไข่ต้มและเพ่ิมรสชาติด้วยทูน่าในน้ำแร่นำมาคลุกกับข้าว เท่านี้ก็ได้เมนูสุขภาพที่อร่อยเลิศแล้ว

    3. นมจืดใส่ธัญพืช : เมนูนี้เหมาะสำหรับทำเป็นอาหารเช้าที่เร่งรีบ เพราะไม่มีขั้นตอนอะไรที่ยุ่งยากแม้แต่นิดเดียว แค่เทนมจืดในแก้วและใส่ธัญพืชต่างๆ เช่น อะโวคาโด แอลมอน งาดำ และอื่นๆ แล้วแต่ว่าชอบ เพียงเท่านี้ได้สุขภาพที่ดีพร้อมลุยงานหนักแล้ว

     4. สเต็กอกไก่ - สเต็กปลา : ไม่จำเป็นเสมอไปที่อาหารเพื่อสุขภาพจะต้องเป็นผักหรือผลไม้เท่านั้น เนื้อสัตว์ก็สามารถนำมาทำอาหารสุขภาพได้เช่นกัน แต่.. ไม่ใช่เนื้อสัตว์ทุกประเภทที่จะสามารถเอามาทำได้ ยกเว้น ไก่" และ ปลา” วิธีทำก็ไม่ยากแค่เอาเนื้อสัตว์มาย่างให้กริลล์ให้สุกในกระทะ เพ่ิมรสชาติด้วยการโรยเกลือและพริกไทยดำได้นิดหน่อย ถ้าจะให้อร่อยยิ่งขึ้นก็อาจมีเครื่องเคียงเป็นผักและธัญพืชด้วย เช่น มะเขือเทศ ถั่วแดง ข้าวโพด และผักกาดหอม

        แต่สำหรับใครที่ไม่มีเวลาไปเลือกซื้อวัตถุดิบและทำอาหารคลีนกินได้บ่อยๆ ทว่าต้องการมีสุขภาพดีก็ยังมีวิธีและเคล็ดลับช่วยให้สุขภาพดี จากการกินอาหารที่สมดุลและถูกหลักโภชนาการ โดยตามคำแนะนำในหนังสือ คู่มือบันทึกสุขภาพดีเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ” บอกไว้  ดังนี้

•    กินอาหารให้ตรงเวลา
•    ไม่อดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ไม่กินจุกจิก
•    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ คือมีทั้งแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน ผลไม้ และผัก
•    เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่มีรสไม่หวานมากขึ้น
•    ลดอาหารที่มีไขมันสูง อาหารทอด อาหารชุบแป้งทอด อาหารที่มีกะทิ หนังเป็ด หนังไก่ หมูสามชั้น ขาหมู เป็นต้น
•    กินอาหารประเภทข้าวแป้ง เช่น ข้าวสวย วุ้นเส้น เส้นก๋วยเตี๋ยวในปริมาณที่พอเหมาะ
•    ลดหรือหลีกเลี่ยงขนม ลูกอม ท๊อฟฟี่ น้ำหวาน น้ำอัดลม
•    เคี้ยวอาหารช้าๆ
•    ลุกจากโต๊ะอาหารเมื่ออิ่ม
•    หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หรือการเติม น้ำปลา ซอส และการเติมเกลือเพิ่ม
•    หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์
•    ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ และน้ำอัดลม
•    อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญไม่ควรงด
•    หากเริ่มมี Metabolic Syndrome ให้แบ่งอาหารเป็น 3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ห้ามกิน ได้แก่ น้ำตาล และของหวานทั้งหลาย ประเภทที่ 2 กินผัก ผลไม้ที่ไม่หวานเพิ่มขึ้น และประเภทที่ 3 คือ อื่นๆ ทั้งหมดนอกจากประเภทที่ 1 และ 2 ให้กินเพียงครึ่งเดียวของที่เคยกินหากไม่อิ่มให้กินประเภทที่ 2 คือผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจนอิ่ม
•    กินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ไก่ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นไก่ ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ

        แน่นอนว่าใครๆ ต่างก็ต้องการมีสุขภาพที่ดี แต่การเลือกกินเฉพาะสิ่งที่คิดว่าดีต่อสุขภาพ ในทางปฏิบัติอาจส่งผลเสียโดยที่เราไม่รู้ตัวได้เช่นกัน ดังนั้น หัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการกินอาหารให้ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ แต่ต้องไม่มากจนเกินความพอดีจนส่งผลเสียต่อร่างกาย หรือเรียกง่ายๆ ว่า เดินทางสายกลาง” ดีที่สุดนั่นเอง



ตัวอย่าง..อาหารเพื่อสุขภาพสุดฮิต ช่วยลดโรค ลดอ้วนนั้นก็คือ..รำข้าวโอ๊ต




รำข้าวโอ๊ตคืออะไร ?

        Oat Bran หรือรำข้าวโอ๊ต คือ เส้นใยบาง ๆ ที่เคลือบผิวเมล็ดข้าวโอ๊ตเอาไว้ ซึ่งได้มาจากการขัดสีข้าวโอ๊ต โดยรำข้าวโอ๊ตจัดว่าเป็นส่วนที่คงประโยชน์จากข้าวโอ๊ตเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนที่สุด จึงมักจะถูกคัดแยกแล้วนำมาขายต่างหาก และกำลังเป็นเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพที่มาแรงมาก ๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศ และเทรนด์นี้ก็กำลังเข้ามาในบ้านเรามากขึ้นทุกวัน ๆ แล้วด้วยนะ

ประโยชน์ของรำข้าวโอ๊ต

      ที่บอกว่ารำข้าวโอ๊ตเป็นส่วนที่คงสารอาหารจากข้าวโอ๊ตเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดก็เพราะว่า รำข้าวโอ๊ตเป็นส่วนที่ไม่ได้ถูกขัดสีให้ขาว จึงยังคงปริมาณไฟเบอร์ได้สูงถึง 98% ของเส้นใยทั้งหมด แถมด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์กับร่างกายมากมาย วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และให้แคลอรี่โดยเฉลี่ยแค่ 88 กรัมต่อรำข้าวโอ๊ตปรุงสุก 1 ถ้วยตวงเท่านั้น

ซึ่งถ้าจะเจาะลึกจริง ๆ เราจะสามารถแยกแยะประโยชน์ของรำข้าวโอ๊ตได้ดังต่อไปนี้ค่ะ

ประโยชน์ของรำข้าวโอ๊ตกับการลดคอเลสเตอรอล

    เนื่องด้วยในรำข้าวโอ๊ตมีเบต้ากลูแคน (Beta-Glucan) ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดที่สามารถละลายน้ำได้ ทำให้มีคุณสมบัติดูดซับคอเรสเตอรอล และไขมันเลว (LDL) ในร่างกายได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถดูดซับคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปได้อีกแรง พ่วงด้วยคุณสมบัติชั้นยอดในการช่วยลดคอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามเส้นเลือดได้อีกต่างหาก ซึ่งด้วยคุณสมบัติเด่นเช่นนี้ จึงสามารถลดความเสี่ยงพร้อมด้วยป้องกันโรคร้ายที่มีสาเหตุมาจากคอเลสเตอรอล เช่น โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดอุดตันได้ชิล ๆ

ประโยชน์ของรำข้าวโอ๊ตกับโรคเบาหวาน

    วารสารสมาคมโภชนาการอเมริกัน (Journal of the American Dietetic Association) เผยว่า รำข้าวโอ๊ตจะช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดที่มีแนวโน้มพุ่งสูงเกินไปหลังมื้ออาหาร โดยชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรต และลดปริมาณน้ำตาลที่กำลังจะเข้าสู่กระแสเลือดของเรา นอกจากนี้ยังอาจช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดโดยเพิ่มระดับอินซูลินเข้าไป ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของรำข้าวโอ๊ตกับการลดน้ำหนัก


        ด้วยความที่รำข้าวโอ๊ตมีปริมาณไฟเบอร์เกือบจะ 100% เต็ม นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา (University of Minnesota) จึงช่วยยืนยันว่า ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้เหล่านี้ในรำข้าวโอ๊ต จะดูดซับน้ำในกระเพาะอาหาร และพองตัวทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น อีกทั้งคาร์โบไฮเดรตในรำข้าวโอ๊ตยังช่วยชะลอกระบวนการย่อยอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานกว่าเดิม ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับคอเลสเตอรอล และไขมันจากอาหาร พร้อมกับเสริมระบบขับถ่ายในร่างกายได้เป็นอย่างดีช่วยด้วยอีกแรงนะจ๊ะ

ประโยชน์ของรำข้าวโอ๊ตกับการขับถ่าย

       แน่นอนว่าปริมาณไฟเบอร์สูงปรี๊ดขนาดนั้นก็น่าจะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายเราได้อย่างสบาย ๆ ดังนั้นหากใครกำลังมีปัญหาระบบขับถ่ายอยู่ตอนนี้ แนะนำให้หารำข้าวโอ๊ตมากิน พร้อมกันนั้นก็อย่าลืมดื่มน้ำเยอะ ๆ ด้วยนะคะ ไฟเบอร์ในรำข้าวโอ๊ตจะมีประสิทธิภาพในการช่วยปรับปรุงระบบขับถ่ายของคุณได้ดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของรำข้าวโอ๊ตกับการป้องกันโรคมะเร็ง

        รำข้าวโอ๊ตไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติในการดูดซับไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย อันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหลากชนิด โดยสถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Institute for Cancer Research) ก็เผยผลวิจัยไว้ในเว็บไซต์ preventcancer.aicr.org ว่า คนที่รับประทานรำข้าวโอ๊ตเป็นประจำ จะลดโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้, มะเร็งเต้านม, มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งมดลูกได้ด้วยล่ะ

กินรำข้าวโอ๊ตอย่างไรให้ได้ประโยชน์?

        ในกรณีที่คุณต้องการกินรำข้าวโอ๊ตเพื่อบำรุงสุขภาพ และป้องกันโรคเท่านั้น แพทย์ก็แนะนำให้กินรำข้าวโอ๊ตวันละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยผสมในโยเกิร์ต นม ซีเรียล หรือกินร่วมกับโฮลเกรน และโฮลวีทก็ได้ค่ะ แต่สำหรับคนที่ต้องการลดคอเลสเตอรอลอย่างจริงจัง ควรได้รับรำข้าวโอ๊ตประมาณ 25-100 กรัมต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์ในปริมาณ 25-35 กรัมต่อวัน

อาหารชนิดไหนมีคุณสมบัติเทียบเท่ารำข้าวโอ๊ต ?

   เนื่องจากรำข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่เราต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เลยทำให้เกิดความสงสัยว่า จะมีอาหารชนิดไหนบ้างไหมที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ารำข้าวโอ๊ตของเมืองนอกได้บ้าง บอกได้ตรงนี้เลยค่ะว่า อาหารตระกูลถั่วต่าง ๆ ในบ้านเรานี่แหละที่พอจะใกล้เคียง ด้วยเพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ และเป็นแหล่งรวมวิตามินบี พร้อมด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในระดับที่พอสูสีกับรำข้าวโอ๊ตของเมืองนอกเลยทีเดียว





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้